เมนู

หญิงเปรตนั้นตอบว่า
เมื่อก่อนดิฉันมีบุตร 2 คน บุตร 2 คน
นั้นกำลังหนุ่มแน่น ดิฉันเป็นผู้เข้าถึงกำลังคือบุตร
(ถือตัวว่ามีบุตร) จึงได้ดูหมิ่นสามีของตน ภาย
หลังสามีของดิฉันโกรธ จึงได้หาภรรยามาใหม่
ก็ภรรยาใหม่นั้นมีครรภ์ ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีใจ
ประทุษร้าย ได้ทำให้ครรภ์ตกไป ภรรยาใหม่มี
ครรภ์ 3 เดือนเท่านั้น ตกเป็นโลหิตเน่า มารดา
ของเขาโกรธดิฉัน แล้วเชิญพวกญาติมาประชุม
ซักถาม ให้ดิฉันทำการสบถและขู่เข็ญดิฉันให้
กลัว ดิฉันได้กล่าวคำสบถและมุสาวาทอย่างแรง
ว่า ถ้าดิฉันทำชั่วอย่างนี้ ขอให้ดิฉันกินเนื้อบุตร
เถิด ดิฉันมีกายเปื้อนหนองและโลหิต กินเนื้อ
บุตรทั้งหลาย เพราะวิบากแห่งกรรมคือการทำ
ครรภ์ให้ตกไป และมุสาวาททั้งสองนั้น.
จบ สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุที่ 7

อรรถกถาสัตตปุตตขาทกเปติวัตถุที่ 7



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภ
นางเปรตผู้กินบุตร 7 คน จึงตรัสคำนี้มีคำเริ่มต้นว่า นคฺคา
ทุพฺพณฺณรูปาสิ
ดังนี้.

ได้ยินว่า อุบาสกคนหนึ่งในหมู่บ้านตำบลหนึ่งไม่ไกล
กรุงสาวัตถี ได้มีบุตร 2 คน ตั้งอยู่ในปฐมวัย สมบูรณ์ด้วยรูปโฉม
ประกอบด้วยศีลและอาจาระ. มารดาของบุตรทั้ง 2 นั้น คิดว่าเรา
เป็นผู้มีบุตร จึงดูหมิ่นสามีด้วยกำลังแห่งบุตร. สามีนั้นถูกภรรยา
ดูหมิ่น มีใจเบื่อหน่าย จึงนำหญิงอื่นมาครอง. ไม่นานนัก หญิงนั้น
ก็ตั้งครรภ์. ลำดับนั้น ภรรยาหลวงเป็นหญิงมีความริษยาเป็นปกติ
เอาอามิสไปล่อหมอคนหนึ่ง ให้หมอนั้นทำครรภ์ของหญิงนั้นซึ่ง
ตั้งมา 3 เดือน ให้ตก. ลำดับนั้น หญิงนั้นอันพวกญาติและพี่น้องชาย
ถามว่า เธอทำครรภ์ของนางนี้ให้ตกไปหรือ จงกล่าวมุสาว่า
ไม่ได้ทำให้ตกไป คนเหล่านั้นไม่เชื่อจึงกล่าวว่า เธอจงสบถ แล้ว
ได้กระทำสบถว่า ขอให้ดิฉันคลอดบุตรทั้งเช้า ทั้งเย็น ครั้งละ 7 คน
แล้วเคี้ยวกินเนื้อบุตร ขอให้ดิฉันมีกลิ่นเหม็น และแมลงวันจับกลุ่ม
อยู่เป็นนิจ.
ครั้นต่อมา นางทำกาละแล้วบังเกิดในกำเนินเปรต ด้วยวิบาก
ของการทำครรภ์ให้ตกไป และพูดมุสานั้นนั่นแล จึงเคี้ยวกินเนื้อบุตร
โดยนัยดังกล่าวแล้ว เที่ยวไปในที่ไม่ไกลบ้านนั้นนั่นเอง. ก็สมัยนั้น
พระเถระหลายรูปออกพรรษาในหมู่บ้าน มายังกรุงสาวัตถีเพื่อ
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พักแรมในส่วนหนึ่งไม่ไกลบ้านนั้น. ลำดับ
นั้น นางเปรตนั้นแสดงตนแก่พระเถระเหล่านั้น. พระมหาเถระ
ถามเธอด้วยคาถาว่า :-

เธอเปลือยกายมีผิวพรรณขี้เหร่ มีตัวเน่า
ส่งกลิ่นฟุ้ง แมลงวันจับกลุ่ม เธอเป็นใครหนอ
มายืนอยู่ในที่นี้.

หญิงเปรตถูกพระเถระถามจึงได้ให้คำตอบด้วย 3 คาถาว่า
ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรตถึงทุคติเกิดใน
ยมโลก เพราะทำกรรมชั่ว จึงต้องจากโลกนี้ไป
ยังเปตโลก เวลาเช้าคลอดบุตร 7 คน เวลาเย็น
อีก 7 คน. แล้วเคี้ยวกินบุตรเหล่านั้นหมด
ทั้ง 14 คนนั้นก็ยังไม่อาจบันเทาความหิว
ของดิฉันได้ หัวใจของดิฉันเร่าร้อนหม่นไหม้
อยู่เป็นนิตย์ เพราะความหิว ดิฉันเป็นดุจถูกไฟ
เผาอยู่กลางแดด ไม่ได้ประสบความเย็นเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิพฺพุตึ ได้แก่ ระงับทุกข์ อัน
เกิดแต่ความหิวกระหาย. บทว่า นาชิคจฺฉามิ แปลว่า ไม่ได้รับ.
ด้วยบทว่า อคฺคิทฑฺฒาว อาตเป นี้ มีวาจาประกอบความว่า เรา
เป็นเสมือนถูกไฟไหม้กลางแดดที่ร้อนจัด ย่อมไม่ได้รับความเย็น.
พระมหาเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะถามถึงกรรมที่นางเปรต
นั้นกระทำ จึงกล่าวคาถาว่า :-
เธอทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วย กาย วาจา
ใจ หรือ เธอกินเนื้อบุตร เพราะวิบากแห่งกรรม
อะไร ?

ลำดับนั้น นางเปรตเมื่อจะบอกถึงการที่ตนเกิดในเปตโลก
และเหตุที่เคี้ยวกินเนื้อบุตร จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า :-
เมื่อก่อนดิฉัน มีบุตร 2 คน บุตร 2 คน
นั้น กำลังหนุ่มแน่น ดิฉันอาศัยกำลังคือบุตร จึง
ได้ดูหมิ่นสามีของตน ภายหลังสามีของดิฉันโกรธ
จึงได้หาภริยามาใหม่ และภริยาใหม่นั้นมีครรภ์
ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีจิตคิดประทุษร้าย ได้ทำให้
ครรภ์ตกไป ภริยาคนใหม่มีครรภ์ 3 เดือนเท่านั้น
ตกเป็นโลหิตเน่า มารดาของเขาโกรธแล้ว เชิญ
พวกญาติของดิฉันมาประชุมกัน ซักถามให้ดิฉัน
ทำการสบถ และขู่เข็ญดิฉันให้กลัว ดิฉันได้กล่าว
คำสบถและมุสาวาทอย่างแรงว่า ถ้าดิฉันทำความ
ชั่วอย่างนี้ ขอให้ดิฉันกินเนื้อบุตรเถิด ดิฉันมีกาย
เปื้อนหนองและเลือด กินเนื้อบุตรทั้งหลาย เพราะ
วิบากแห่งกรรม คือการทำครรภ์ให้ตกไป และ
มุสาวาททั้ง 2 นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺตพลูเปตา ได้แก่ อาศัยกำลัง
คือบุตร คือ ได้กำลังด้วยอำนาจบุตร. บทว่า อติมญฺญิสํ แปลว่า
ดูหมิ่นเกินไป. บทว่า ปูติโลหิตโก ปติ ได้แก่ ครรภ์ไหลออกเป็น
โลหิตเน่า. คำที่เหลือทั้งหมด เป็นเสมือนคำที่เป็นลำดับมานั่นเอง.

ในเรื่องนั้น มีพระเถระ 8 รูป. แต่ในเรื่องนี้ มีพระเถระเป็นจำนวน
มาก. ในเรื่องนั้น มีบุตร 5 คน แต่ในเรื่องนี้มีบุตร 7 คน นี้แล
เป็นความแปลกกัน.
จบ อรรถกถาสัตตปุตตขาทกเปติวัตถุที่ 7

8. โคณเปตวัตถุ


ว่าด้วยเกี่ยวหญ้าอ่อนให้โคตายกิน


กฏุมพีเป็นบิดาถามสุชาตุกุมารว่า
[93] เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ จึงเกี่ยวหญ้าอัน
เขียวสดแล้วบังคับโคแก่อันเป็นสัตว์ตายแล้วว่า
จงกิน จงกิน อันโคตายแล้วย่อมไม่ลุกขึ้นกินหญ้า
และน้ำมิใช่หรือ เจ้าเป็นทั้งคนพาลทั้งมีปัญญา
ทราม เหมือนคนอื่นที่มีปัญญาทรามฉะนั้น.

สุชาตกุมารตอบว่า
โคตัวนี้ยังมีเท้าทั้ง 4 มีศีรษะ มีตัวพร้อม
ทั้งหาง นัยน์ตาก็มีอยู่ตามเดิม ข้าพเจ้าคิดว่าโค
ตัวนี้พึงลุกขึ้นกินหญ้าสักวันหนึ่ง ส่วนมือ เท้า
กาย และศีรษะของปู่ไม่ปรากฏ แต่คุณพ่อมา
ร้องไห้ถึงกระดูกของปู่ที่บรรจุไว้ในสถูปดิน ไม่
เป็นคนโง่หรือ.

กุมพีได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวสรรเสริญสุชาตกุมารว่า
เจ้าดับความกระวนกระวายทั้งปวงของเรา
ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หาย เหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟ
อันลาดด้วยน้ำมัน ฉะนั้นได้ถอนขึ้นแล้วหนอ ซึ่ง
ลูกศรคือความโศก อันเสียบแล้วที่หทัยของบิดา